วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การเรียนมัธยมปลายขณะวัยรุ่น

ปัจจุบันการเรียนในชั้นมัธยมปลายสายวิทยาศาสตร์ให้ดีนั้นมีความยากมาก ทั้งนี้เพราะเนื้อหาในแต่ละวิชาได้ลงไปลึกกว่าในอดีต หลายๆวิชาจะต้องอาศัยการอ่านและการท่องจำ เช่น ชีววิทยา ภาษาไทย และสังคมศึกษา ในขณะที่วิชาที่ต้องการใช้การคำนวณ เช่น คณิตศาสตร์ เคมี และฟิสิกส์จำเป็นต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและทำแบบฝึกหัด นอกจากนี้วิชาเหล่านี้ก็ยังยากเกินกว่าที่พ่อแม่จะอธิบายให้ลูกเข้าใจได้ ความยากของวิชาเหล่านี้อาจทำให้ครูอีกจำนวนมากที่สอนวิชาเหล่านี้ไม่สามารถ เข้าใจวิชาที่สอนได้อย่างลึกซึ้ง ลูกจึงค่อนข้างจะโดดเดี่ยวเมื่อเรียนมาถึงชั้นนี้ ในขณะที่ลูกเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น จิตใจและอารมณ์จะไม่เหมือนช่วงชั้นมัธยมต้น ลูกจะอ่อนไหวได้ง่ายมีการตอบสนองต่อความผิดหวังและความเครียดได้อย่างรุนแรง การเลี้ยงลูกในวัยนี้จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายต่อพ่อแม่เป็นอย่างยิ่ง ความเอาใจใส่ลูกในระยะนี้จึงควรจะมากขึ้นเป็นทวีคูณ และต้องให้เวลาในการเลี้ยงดูมากกว่าในทุกๆวัยที่ผ่านมา
พ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกด้วยความใกล้ชิดมาตลอดเวลานั้นจะเริ่มสังเกตได้ว่าลูก มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยนี้เป็นอย่างมาก ลูกจะเริ่มมีความคิดเห็นเป็นของตัวเองมากขึ้น พ่อแม่ที่เคยเลี้ยงลูกด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ อาจจะเริ่มสังเกตว่าลูกไม่ยอมทำตามบ้างในบางครั้ง ในขณะที่พ่อแม่เป็นห่วงปัญหาภัยจากสังคมต่างๆ ที่รายล้อมลูก แต่ลูกเองก็หารู้ถึงภัยเหล่านั้นไม่ แต่กลับมีความอยากรู้อยากเห็นหรืออยากทำสิ่งต่างๆตามความคิดของตนเอง ความใกล้ชิด ความรัก และความเข้าใจลูกของพ่อแม่ตั้งแต่เล็กเรื่อยมาจนปัจจุบันจะช่วยคลี่คลายความ ไม่เข้าใจในขณะนี้ได้ แต่ถ้ามีการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าในขั้นตอนใดก่อนหน้านี้ ปัญหานั้นก็อาจจะระเบิดในช่วงนี้ และปัญหานั้นอาจหมายถึงอนาคตหรือชีวิตของลูกเลยก็ว่าได้
อย่าลืมว่าขั้นสุดท้ายของการเรียนในชั้นนี้คือ การสอบโอเน็ทและเอเน็ท รวมทั้งการสอบวัดความรู้พื้นฐานในแต่ละสายวิชาชีพ สิ่ง นี้คือสิ่งที่กดดันลูกอยู่ตลอดเวลา ลูกมักไม่พูดออกมา แต่อาจแสดงออกมาทางด้านอื่น เช่น อาการปวดหรือมึนศีรษะ การนอนไม่หลับ ความกังวลกับการเรียน อาการอาจจะมากจนทำให้อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง และต่อเนื่องจนถึงขั้นไม่อยากอ่านหนังสือ แล้วหาทางออกโดยการดูทีวีหรือเล่นคอมพิวเตอร์มากขึ้น อารมณ์ของลูกอาจจะอ่อนไหวกว่าปกติ มีอะไรขัดใจก็อาจจะโกรธหรือเสียใจมากเกินกว่าเหตุ พ่อแม่ที่ดูแลลูกในระยะ 2-3 ปีนี้ จึงควรระมัดระวังคำพูดรวมทั้งหมั่นสังเกตความผิดปกติของลูก ควรสืบค้นเพื่อจับให้ได้ว่าสาเหตุของความเครียดนั้นคืออะไร และมีหนทางใดที่จะช่วยแก้ไขหรือทำให้เบาบางลงได้ ขอให้ทำตัวเป็นผู้สนับสนุน ไม่ใช่ทำตัวเป็นคนชี้แนะหรือสั่งสอนใดๆ เพราะปัญหาการเรียนของลูกครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก ลูกต้องอ่านและต้องทำความเข้าใจในตำราต่างๆเอง การสนับสนุนเขานั้นสามารถทำได้หลายทาง ทั้งนี้ขึ้นกับสถานการณ์ในแต่ละขณะ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเข้าสอบแข่งขันของลูก ก็คือ อย่าขีดเส้นว่าลูกต้องได้คะแนนเท่าไร หรือควรได้คณะอะไร โดยการเอารางวัลเข้าล่อ เพราะอาจจะทำให้ลูกผิดหวัง รวมทั้งลูกอาจรู้สึกว่าตัวเองผิดที่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ไม่ควรแสดงออกมาให้ลูกรู้ว่า พ่อแม่หวังให้ลูกได้อะไร พ่อแม่ควรเป็นเพียงกองหนุนให้ลูกเป็นผู้ขีดความหวังเอง โดยพ่อแม่พยายามหาทางออกให้ลูกในกรณีที่ลูกผิดหวังจากการสอบ โดยแสดงให้ลูกรู้อยู่เสมอว่า พ่อแม่จะไม่เสียใจกับผลสอบของลูกเลย ไม่ว่ากรณีใดๆ โดยได้เลือกสถานที่เรียนที่อื่นเผื่อไว้แล้ว ทั้งนี้ถ้าได้ปรึกษากับลูกล่วงหน้าก็จะเป็นการดี ให้เขาเป็นคนเลือกช่องทางเองว่าจะไปเรียนอะไรในกรณีที่ไม่ได้อันดับต้นๆ ขอให้พ่อแม่แสดงออกอย่างจริงใจว่าผลจะออกมาอย่างไร พ่อแม่ก็ยังพอใจในตัวลูก ยังคงรักลูกและรักลูกมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ รักในความอุตสาหะตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านไป หรือตลอดเวลาที่ลูกได้ร่ำเรียนมาอย่าลืมว่าถึงแม้ลูกจะขะมักเขม้นกับการ เรียนมากแค่ไหน ก็ไม่ควรทิ้งกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นงานกลุ่ม งานห้อง งานโรงเรียน หรืองานกีฬา ถ้าลูกมีความชำนาญด้านใดก็ให้ช่วยงานตามความสามารถ เวลาที่เสียไปกับการงานเหล่านี้ไม่มากเลย ควรจะถือเป็นการคลายเครียดเพื่อมิให้หมกมุ่นแต่การเรียนอย่างเดียว ในทางตรงกันข้าม การทำกิจกรรมเหล่านี้กลับจะส่งผลดีต่อการเรียน เพราะสมองได้พักมาทำกิจกรรมด้านอื่นสักครู่ แล้วจึงกลับไปอ่านหนังสือในภายหลัง
การเรียน 3 ปีสุดท้ายในชั้นมัธยมนี้ถือว่าเป็นช่วงที่มีความเครียดมากที่สุด และเกิดขึ้นในขณะที่ลูกเป็นวัยรุ่น วัยที่เริ่มจะเติบโตเต็มวัยเมื่อมาพบมรสุมชีวิตเช่นนี้ ความผิดหวังครั้งแรกของลูกอาจร้ายแรงจนถึงขั้นที่ลูกอาจรับไม่ได้ ขอให้ระวังความผิดหวังครั้งแรกของลูกให้ดี อย่าลืมว่าการแข่งขันทุกครั้งย่อมมีผู้สมหวังและ ผู้ผิดหวังอย่ามองโลกด้านเดียวว่าลูกจะสมหวังทุกครั้งให้ทางออกแก่ลูกในกรณีที่ผิดหวังจากการแข่งขันทุกครั้ง ถ้าลูกสามารถรับความผิดหวังที่เกิดขึ้นได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อลูกในการใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต ถ้าตลอดชีวิตที่ผ่านมาลูกมีแต่ความสมหวังก็อาจจะไม่ดี เพราะจะไม่มีทางทราบเลยว่าลูกจะรับมือกับความผิดหวังครั้งแรกและครั้งร้ายแรงอย่างไร เพราะถึงอย่างไร สักวันหนึ่งลูกก็จะต้องพบกับความผิดหวัง การเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีมาตลอดตั้งแต่เล็กจะเป็นเกราะป้องกันความผิดหวังต่างๆ ลูกจะมองโลกแต่ในด้านดีตลอด สำหรับความสำเร็จในด้านการศึกษาของลูกนั้นต้องยกให้กับความอุตสาหะตลอด 12 ปีของลูก ที่ลูกจะต้องนำมาดัดแปลงให้เข้ากับการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย บทบาทของพ่อแม่หลังจากนี้จึงควรเฝ้าดูการใช้ชีวิตของลูกอยู่ห่างๆ และคอยแนะนำหรือช่วยเหลือเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น

Cr.http://satitapp.kus.ku.ac.th/guidance/story-10.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น