จิตแพทย์ เผยขณะนี้พบวัยรุ่นมีปัญหาการเรียนร้อยละ 15-30
แนะพ่อปรับทัศนคติลูกเรียนเก่ง สอบเอนทรานซ์ติด สร้างความเครียดให้วัยรุ่น
โดยเฉพาะช่วงเตรียมสอบเข้าระดับอุดมศึกษา แนะสนับสนุนลูกเป็นคนดี
ล่าสุดพบเด็กเครียดสะสมรุนแรง เสี่ยงเป็นโรควิตกกังวลและซึมเศร้าจนถึงวัยผู้ใหญ่
แล้วร้อยละ 15-20 แนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 3-5 ต่อปี
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 56 แพทย์หญิงทิพาวรรณ บูรณสิน
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นชำนาญการ ประจำสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต
กล่าวว่า ในช่วงนี้วัยรุ่นใกล้การสอบเอ็นทรานซ์ เพื่อเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา
ซึ่งความคาดหวังเรื่องการเรียนของพ่อแม่เป็นเหมือนกันทุกบ้าน
บางคนคาดหวังโดยไม่เข้าใจศักยภาพของลูกว่า มีมากน้อยแค่ไหน ถ้าความคาดหวัง
กับความเป็นจริง ไม่สอดคล้องกัน ก็จะกลายเป็นความกดดันให้ลูก ขณะเดียวกัน
เด็กทุกคนต้องการการยอมรับจากพ่อแม่ และหากพ่อแม่มีความคาดหวังมาก
เด็กพยายามทำเต็มที่แล้ว แต่ผลออกมาได้ไม่ดีตามที่คาดหวัง เด็กจะเกิดความทุกข์ใจ
เกิดความกดดัน เสี่ยงเรื่องความซึมเศร้า วิตกกังวล
"ศักยภาพของคนมีไม่เท่ากัน
คลินิกสุขภาพจิตวัยรุ่นของสถาบันฯ พบวัยรุ่นมีปัญหาการเรียนมารับการปรึกษาร้อยละ
15-30 ถือว่ามากพอสมควร บางคนฉลาดแต่สมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งต่างๆได้นาน
หรือบางคนมีความบกพร่องด้านทักษะการเรียนรู้ แม้จะพยายามแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจ
ซึ่งพบได้ร้อยละ 5
เด็กกลุ่มนี้จะต้องการการช่วยเหลือทักษะการเรียนเป็นพิเศษรายบุคคล
และเป็นปัญหาสะสมตั้งแต่วัยเรียน วัยประถม พ่อแม่ต้องปรับทัศนคติ
โดยเฉพาะค่านิยมเด็กเรียนเก่ง เรียนดี และสอบเอ็นทรานซ์ติด ต้องให้กำลังใจเด็ก
เข้าใจเด็ก มีข้อบกพร่องด้านใดต้องพยายามช่วยประคับประคองเด็กตั้งแต่ยังเล็ก
ก็จะช่วยลูกลดความเครียดสะสมในเรื่องการเรียนได้ เด็กที่ผิดหวังบ่อยๆ
เสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งขณะนี้พบได้ร้อยละ 15-20
และแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละประมาณร้อยละ 3 ต่อปี นอกจากนี้ยังทำให้เกิดโรควิตกกังวล
เด็กขาดความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่นและขาดความศรัทธาตนเอง ขาดศรัทธาในการทำสิ่งดีๆ
อีกต่อๆ ไป ซึ่งอันตรายมากเปรียบเสมือน การขาดภูมิคุ้มกันทางจิตใจ
เด็กหลายคนอาจมีความประพฤติเด็กเปลี่ยนไปในทางตรงข้าม เช่น
จากความประพฤติเรียบร้อยกลายเป็นแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ต่อต้าน เกเร ต่อต้านสังคม
เสี่ยงกระทำผิดกฎหมายได้ เป็นต้น" แพทย์หญิงทิพาวรรณกล่าว
แพทย์หญิงทิพาวรรณ กล่าวต่อว่า
พ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่นมักเจอกับปัญหาความไม่เข้าใจกัน เพราะวัยห่างกัน
อาจจะทำให้เด็กไม่กล้าที่จะปรึกษา
ดังนั้นสิ่งที่พ่อแม่ต้องทำอย่างแรกเมื่อลูกเดินเข้ามาปรึกษาปัญหา คือ
1.ต้องให้เวลาลูก 2.ตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกพูด ฟังโดยใช้สติ ไม่ด่วนตัดสิน
อย่าใช้อารมณ์ 3.ให้กำลังใจและหาทางออกให้เด็กเมื่อเด็กต้องการ สิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งคือ
อย่าพูดคำว่าเดี๋ยว เพราะวัยรุ่นอาจจะรอไม่ได้
และหากเด็กไม่ได้รับคำปรึกษาจากพ่อแม่แล้ว เด็กก็จะหันไปปรึกษาเพื่อนๆแทน
และได้ทางออกในทางที่ไม่เหมาะสม หรือในกรณีที่เด็กอาจรู้สึกผิดอยู่แล้ว
และเมื่อปรึกษาพ่อแม่แล้วโดนตำหนิกระหน่ำซ้ำเติม ครั้งต่อไปเด็กก็จะปิดบัง
ไม่บอกหรือหันไปต่อต้านพ่อแม่ ทำตามเพื่อนในทางที่ไม่ดี
ดังนั้นพ่อแม่จึงเป็นบุคคลที่สำคัญมากในการเป็นที่ปรึกษา ช่วยลดความเครียดให้เด็ก
มีงานวิจัยพบว่าเด็กที่ถูกทำโทษหรือครอบครัวใช้ความรุนแรงตั้งแต่วัยเด็ก
จะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ ที่สำคัญคือ ส่งผลกระทบต่อสติปัญญา
อารมณ์และสมาธิความจำ
แพทย์หญิงทิพาวรรณ ยังกล่าวอีกว่า
ในการสร้างค่านิยมใหม่ของพ่อแม่ ควรสนับสนุนเรื่องการเป็นคนดี มีพฤติกรรมดี
มีระเบียบวินัย ซื่อสัตย์ อดทน มีน้ำใจ มากกว่าจะดูที่ผลการเรียน
เพราะคะแนนเป็นเพียงตัวเลข ควรดูที่ความพยายามของลูก
และช่วยพัฒนาจุดอ่อนทางการเรียนรู้ เช่น
บางคนอ่านไม่เก่งจับใจความไม่ได้ ก็ควรช่วยชี้แนะให้ทำสรุป ทบทวน
ให้กำลังใจและชมเมื่อลูกได้แสดงความพยายาม บางคนสมาธิความจำไม่ดี วอกแวกได้ง่าย
อาจจะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและดูแลช่วยเหลือเฉพาะด้าน
"การสอบเอ็นทรานซ์เป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งในชีวิต
ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต และคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคือ "คนดี"
มีความรับผิดชอบ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย เป็นที่ยอมรับของสังคม ไม่ใช่เฉพาะ
"คนเก่ง" เท่านั้น ดังนั้นเด็กที่กำลังอยู่ในวัยศึกษาการเรียนถือว่าเป็นหน้าที่หลักต้องอดทนและพยายาม
พ่อแม่ควรให้กำลังใจลูกตั้งแต่เด็กอย่างสม่ำเสมอ
สัมพันธภาพที่ดีเปรียบเสมือนเป็นวัคซีนทางใจ วัคซีนสำหรับชีวิตแก่ลูก
Cr.http://www.thairath.co.th/content/389524
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น