เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2556
ที่ผ่านมา เวิลด์อีโคโนมิคฟอรั่ม (
World Economic Forum : WEF) ได้เผยแพร่ผลการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันนานาชาติ
(Global Competiveness Index : GCI) ฉบับล่าสุด ปี 2556
การจัดอันดับภาพรวมปีนี้ของไทยอยู่ในอันดับที่ 37 จาก 148 ประเทศ ซึ่งดีขึ้นจากปีที่แล้ว 2555 ที่อยู่อันดับที่ 38 จาก 144 ประเทศ
จากการวิเคราะห์อันดับภาพรวมประเทศในกลุ่มอาเซียน โดย WEF ในระยะ 8 ปีถึงปัจจุบัน พบว่า
อันดับรวมของกัมพูชาสูงขึ้นมา 23 อันดับ
อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์สูงขึ้น 19 อันดับ
มาเลเซียและไทยอันดับถดถอย 4 และ 5 อันดับ
ตามลำดับ
ในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันนั้น WEF พิจารณาจาก 3 หมวดได้แก่
1. ปัจจัยพื้นฐาน ประกอบด้วย
สถาบันด้านเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน
เศรษฐกิจมหภาค สุขภาพและการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เหล่านี้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาประเทศ ในหมวดนี้ไทยได้อันดับที่
49
2. ปัจจัยยกระดับประสิทธิภาพ หมายถึง สิ่งต่างๆที่จะช่วยให้กิจการก้าวหน้า อันรวมถึงการศึกษาขั้นสูงและการฝึกอบรม
ขนาดของตลาด ประสิทธิภาพของตลาดสินค้า
ตลาดแรงงาน ตลาดการเงิน ความพร้อมด้านเทคโนโลยี
ในหมวดนี้ไทยได้อันดับที่ 40
3. ปัจจัยนวัตกรรมและศักยภาพทางธุรกิจ หมายถึง ส่วนที่จะขับส่งให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก หมวดนี้ไทยได้อันดับที่ 52
ทั้งนี้วิธีการได้มาของข้อมูล WEF จะให้น้ำหนักกับการสำรวจความคิดเห็นและการให้คะแนนของผู้ประกอบการในธุรกิจ
(Executive Opinion Survey) ถึง 2 ใน 3
ส่วนและอีก 1 ส่วนที่เหลือมาจากข้อมูลเปรียบเทียบเชิงสถิติที่สำคัญขององค์การระหว่างประเทศ โดย WEF
ยังได้วิเคราะห์ปัจจัยที่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
6 อันดับแรก ดังนี้
1) ปัญหาคอรัปชั่น
2) ความไม่มั่นคงทางการเมือง
3) ความไม่ต่อเนื่องทางนโยบาย
4) ระบบราชการ
5) ขาดความสามารถเชิงนวัตกรรม
6) ขาดคุณภาพการศึกษาแรงงาน
1) ปัญหาคอรัปชั่น
2) ความไม่มั่นคงทางการเมือง
3) ความไม่ต่อเนื่องทางนโยบาย
4) ระบบราชการ
5) ขาดความสามารถเชิงนวัตกรรม
6) ขาดคุณภาพการศึกษาแรงงาน
การประเมินความสามารถการแข่งขันด้านการศึกษาของ WEF จะมี 2 ระดับ ได้แก่ ประถมศึกษา (Primary
Education) และการศึกษาขั้นสูง (Higher Education and
Training) อันรวมถึงมหาวิทยาลัย อาชีวศึกษาและมัธยมศึกษาและการพัฒนาแรงงาน
ด้านประถมศึกษา (ซึ่งรวมสาธารณสุขด้วย) ไทยอยู่ที่อันดับ 81 ของโลกและ อันดับ 7 ในอาเซียน
ด้านการศึกษาขั้นสูงและฝึกอบรม (Higher education and
training) ไทยอยู่ในอันดับที่ 66 เทียบกับประเทศในอาเซียน WEF ประเมินไทยอยู่อันดับที่ 5 ซึ่งมีตัวชี้วัดย่อยด้านการศึกษาและการฝึกอบรมตามตาราง
จากตารางผลประเมินข้างต้นของ WEF เกณฑ์ในการพิจารณาจะให้น้ำหนักมากต่อมุมมองและความคาดหวังของผู้ประกอบการในธุรกิจของประเทศนั้นๆว่าการศึกษามีการพัฒนาและตอบสนองต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศหรือไม่
เช่น ตัวชี้วัดด้านคุณภาพของระบบการศึกษา
(Quality of Education System) WEF จะดูว่า
ระบบการศึกษาของประเทศนั้นๆสามารถตอบสนองความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้หรือหรือไม่ โดยมีคะแนนให้ผู้ประกอบการในธุรกิจเลือกตั้งแต่ระดับ 7 = ตอบสนองมากที่สุด
ถึงระดับ 1 = ไม่ตอบสนองเลย ในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน ไทยอยู่ในอันดับ 8 เท่าปี 2012 เพียงแต่ลำดับประเทศเปลี่ยนไป
เพราะปี 2012 ลาว และพม่ายังไม่มีการจัดอันดับ ในรายงานปีนี้ 2013 คุณภาพด้านการศึกษาของเราดีกว่าเพียงเวียดนามและพม่า
ในทำนองเดียวกัน ตัวชี้วัดคุณภาพประถมศึกษา จะดูว่าคุณภาพประถมศึกษาของประเทศตนเองเป็นอย่างไร
โดยมีคะแนนให้เลือกตั้งแต่ระดับ 7 = ดีมาก ถึงระดับ 1 = ไม่ดีเลย ไทยอยู่ในอันดับที่
7 สูงกว่าเวียดนาม กัมพูชาและพม่า ตามลำดับ
จากรายงาน WEF กลุ่มผู้ประกอบการในธุรกิจของไทยที่เข้าร่วมแสดงความเห็นมีจำนวน
130 คน ร้อยละ 50 เป็นผู้ประกอบการที่มีจำนวนลูกจ้างต่ำกว่า
500 คน ประมาณร้อยละ 55 มาจากภาคบริการ
และร้อยละ 45 มาจากภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม
ในภาพรวม เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ
ไทยต้องรีบพัฒนาอย่างเร่งด่วน 3 ข้อ ได้แก่ อัตราเข้าเรียนประถม
(อันดับที่ 9) คุณภาพระบบการศึกษา (8) คุณภาพประถมศึกษา (7) ตามลำดับ
คุณภาพของการศึกษาในระดับอุดมศึกษาเป็นอีกประเด็นที่ WEF เน้นย้ำว่าไทยต้องเร่งพัฒนา
เนื่องจากมีคุณภาพที่ "ต่ำผิดปกติ"
ผลการประเมินด้านการศึกษาอีกหลายสถาบันยังชี้ไปในทางเดียวกันอีกด้วย
ได้แก่
·
ดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขัน : ไอเอ็มดี (IMD) รายงานผลเมื่อพฤษภาคม 2556 จัดอันดับภาพรวมการแข่งขันของไทยอยู่ในอันดับที่
27 จาก 60 ประเทศ
ซึ่งดีขึ้นกว่าปี 2555 ที่อยู่อันดับที่ 30
จาก 60 ประเทศ
IMD ประเมินด้านการศึกษาภาพรวม ไทยอยู่อันดับที่ 51 จาก 60 ประเทศ เปรียบเทียบประเทศ อาเซียน 5 ประเทศ สิงคโปร์ (4) มาเลเซีย (34) อินโดนีเซีย (52) และฟิลิปปินส์ (59) วิธีการประเมินของ IMD คล้ายกับของ WEF ในการสอบถามความเห็นจากตัวแทนนักธุรกิจและผู้ประกอบการในประเทศไทย
ว่าคุณภาพของระบบการศึกษาไทยในมิติต่างๆ
สามารถตอบสนองต่อความต้องการทางเศรษฐกิจและภาคธุรกิจได้ดีเพียงใด
อันดับของไทยจำแนกอันดับตามตัวชี้วัดดังนี้
โดยความหมายของดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขันของ IMD คือ
การประเมินความคิดเห็นของผู้บริหารและนักธุรกิจต่อคุณภาพของระบบการศึกษาไทยในการตอบสนองความต้องการของระบบเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ
·
ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) ประจำปี 2556
(จำนวน 186 ประเทศ)
บ่งบอกถึงการพัฒนามนุษย์ของประเทศในภาพรวมทางสาธารณสุข การศึกษาและเศรษฐกิจ ครอบคลุมประชากรทุกระดับอายุ
ใช้ติดตามพัฒนาการภาพกว้างในระยะยาว ไทยอันดับที่ 103
ประเทศอาเซียนมีอันดับดังนี้ สิงคโปร์ (18) บรูไน (30) มาเลเซีย (64) อินโดนีเซีย (121) เวียดนาม (127)
กัมพูชา (138)
·
ดัชนีการเรียนรู้ของเพียร์สัน (Pearson’s Learning Curve
Index) ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่ต้องใช้สติปัญญา (Cognitive
skills) รวมถึงการคิดวิเคราะห์และโอกาสเข้าถึงการศึกษา (Educational
attainment)รายงานเมื่อพฤศจิกายน 2555 เปรียบเทียบทั้งหมด 40 ประเทศ ไทยอยู่ในอันดับที่ 37 ประเทศเพื่อนบ้านมีอันดับดังนี้
เกาหลีใต้ (2) ฮ่องกง (3) ญี่ปุ่น (4) สิงคโปร์ (5) นิวซีแลนด์ (8) ออสเตรเลีย (13) อินโดนีเซีย (40)
·
TIMMS (Trends in International Mathematics and Science Study)
ที่จัดอันดับผลการเรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติของนักเรียนชั้น
ป. 4 และ ม. 2 ทุก 3 ปี รายงานปี 2554 ในระดับ ม.2 จาก
45 ประเทศ คณิตศาสตร์อันดับที่ 28
และวิทยาศาสตร์อันดับที่ 25 (อยู่ในกลุ่มต่ำทั้งสองวิชา)
ในส่วนของระดับชั้น ป. 4 จาก 52 ประเทศ วิชาคณิตศาสตร์อันดับที่ 34 (กลุ่มต่ำ) และวิชาวิทยาศาสตร์อันดับที่
29 (กลุ่มพอใช้)
·
เพิร์ล (Progress in International Reading Literacy Study: PIRLS) เป็นตัวชี้วัดทักษะความสามารถด้านการอ่าน
ไทยยังไม่เข้าร่วมโครงการ
ผลการประเมินปี 2011 จาก 49 ประเทศ ฮ่องกงอยู่ในอันดับ 1 ประเทศในเอเชียที่ติดอันดับท็อปเทน ยังมีสิงคโปร์
(4) และไต้หวัน (9)
Cr.http://www.qlf.or.th/Home/Contents/749
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น